"จักรวรรดิบริติชที่หนึ่ง" (1583–1783) ของ จักรวรรดิบริติช

ใน ค.ศ. 1578 พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 พระราชทานเอกสารสิทธิ์ (patent) แก่ฮัมฟรีย์ กิลเบิร์ต ในการค้นพบและการสำรวจโพ้นทะเล[31] ปีนั้น กิลเบิร์ตเดินเรือมุ่งหมู่เกาะอินเดียตะวันตก โดยเจตนาปล้นสะดมและตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือ แต่การเดินทางดังกล่าวถูกยกเลิกก่อนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก[32][33] ค.ศ. 1583 กิลเบิร์ตออกเดินทางครั้งที่สอง โดยครั้งนี้ไปเกาะนิวฟันด์แลนด์ ซึ่งเขาอ้างสิทธิท่าเรือให้อังกฤษอย่างเป็นทางการ แม้ยังไม่มีผู้ตั้งถิ่นฐาน กิลเบิร์ตเสียชีวิตขณะเดินทางกลับอังกฤษ และน้องชายต่างมารดา วอลเทอร์ ราเลห์ สืบหน้าที่ต่อ เขาได้รับพระราชทานเอกสารสิทธิ์ของเขาเองจากพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ใน ค.ศ. 1584 ในปีเดียวกัน เขาก่อตั้งอาณานิคมโรอาโนคบนชายฝั่งรัฐนอร์ทแคโรไลนาในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากขาดแคลนเสบียง[34]

ใน ค.ศ. 1603 พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ทรงสืบราชบัลลังก์อังกฤษต่อมา และใน ค.ศ. 1604 ทรงเจรจาสนธิสัญญาลอนดอน ซึ่งยุติความบาดหมางกับสเปน หลังการสงบศึกกับคู่แข่งหลัก ความสนใจของอังกฤษเปลี่ยนจากการหาผลประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางอาณานิคมของชาติอื่นมาเป็นธุระการก่อตั้งอาณานิคมโพ้นทะเลของตนเอง[35] จักรวรรดิบริติชเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ด้วยนิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือและหมู่เกาะเล็ก ๆ แถบแคริบเบียน ตลอดจนการจัดตั้งบริษัทเอกชน ซึ่งที่เลื่องชื่อที่สุดคือ บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เพื่อบริหารอาณานิคมและการค้าโพ้นทะเล ในช่วงนี้จนถึงการเสียสิบสามอาณานิคมหลังสงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกาเมื่อสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักประวัติศาสตร์บางคนต่อมาเรียก "จักรวรรดิบริติชที่หนึ่ง"[36]

ทวีปอเมริกา แอฟริกา และการค้าทาส

ทีแรกแคริบเบียนเป็นอาณานิคมที่สำคัญและให้กำไรมากที่สุดของอังกฤษ[37] แต่ก่อนหน้านั้นการยึดเป็นอาณานิคมล้มเหลวหลายครั้ง ความพยายามตั้งอาณานิคมในกิอานาเมื่อ ค.ศ. 1604 อยู่ได้เพียงสองปี และไม่ประสบความสำเร็จวัตถุประสงค์หลักในการหาแหล่งแร่ทองคำ[38] อาณานิคมในเซนต์ลูเชีย (ค.ศ. 1605) และเกรนาดา (ค.ศ. 1609) ถูกล้มเลิกอย่างรวดเร็ว แต่มีการตั้งนิคมสำเร็จในเซนต์คิตส์ (ค.ศ. 1624) บาร์เบโดส (ค.ศ. 1627) และเนวิส (ค.ศ. 1628) [39] ไม่ช้าอาณานิคมก็รับเอาระบบการปลูกน้ำตาลที่ชาวโปรตุเกสใช้อย่างได้ผลในบราซิล ซึ่งต้องพึ่งพาแรงงานทาส และเรือสินค้าดัตช์ในตอนแรก เพื่อขายทาสและซื้อน้ำตาล[40] เพื่อรับประกันให้กำไรงามที่เพิ่มขึ้นจากการค้านี้อยู่ในมืออังกฤษ รัฐสภาจึงออกพระราชกฤษฎีกาใน ค.ศ. 1651 ว่าให้เรือสินค้าอังกฤษเท่านั้นที่สามารถค้าขายในอาณานิคมอังกฤษได้ เหตุนี้นำไปสู่ความเป็นปรปักษ์กับสหจังหวัดดัตช์ คือ ชุดสงครามอังกฤษ-ดัตช์ ซึ่งสุดท้ายทำให้ฐานะของอังกฤษในทวีปอเมริกาแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ดัตช์อ่อนแอลง[41] ใน ค.ศ. 1655 อังกฤษผนวกจาเมกาจากสเปนและใน ค.ศ. 1656 ก็ยึดบาฮามาสเป็นอาณานิคมได้สำเร็จ[42]

อาณานิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ ราว ค.ศ. 1750; 1. นิวฟันด์แลนด์ 2. โนวาสโกเทีย 3. สิบสามอาณานิคม 4. เบอร์มิวดา 5. บาฮามาส 6. เบลิซ 7. จาเมกา 8. แอนติลลิสน้อย

นิคมถาวรแห่งแรกของอังกฤษในทวีปอเมริกาก่อตั้งใน ค.ศ. 1607 ณ เจมส์ทาวน์ นำโดยกัปตันจอห์น สมิธ และมีบริษัทเวอร์จิเนียจัดการ มีการตั้งถิ่นฐานบนเบอร์มิวดาและอังกฤษอ้างสิทธิ์หลังเรือธงของบริษัทเวอร์จิเนียล่มที่นั่นใน ค.ศ. 1609 และใน ค.ศ. 1615 ถูกมอบให้บริษัทหมู่เกาะซอเมอส์ (Somers Isles Company) ที่เพิ่งตั้ง[43] กฎบัตรของบริษัทเวอร์จิเนียถูกเพิกถอนใน ค.ศ. 1624 และพระมหากษัตริย์เข้าควบคุมเวอร์จิเนียโดยตรง จึงตั้งเป็นอาณานิคมเวอร์จิเนีย[44] ส่วนบริษัทลอนดอนและบริสตอลตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1610 มุ่งก่อตั้งนิคมถาวรบนเกาะนิวฟันด์แลนด์ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก[45] ใน ค.ศ. 1620 มีการตั้งอาณานิคมพลีมัธเป็นที่พำนักแก่พวกแบ่งแยกศาสนากลุ่มเพียวริตัน ซึ่งต่อมาเรียกว่า พิลกริม (Pilgrim)[46] การหลบหนีจากการเบียดเบียนทางศาสนาจะเป็นแรงกระตุ้นให้เหล่าว่าที่ชาวอาณานิคมอังกฤษหลายคนเสี่ยงกับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอันยากเข็ญ กล่าวคือ อาณานิคมแมรีแลนด์ถูกตั้งเป็นที่พำนักแก่นิกายโรมันคาทอลิก (ค.ศ. 1634) อาณานิคมโรดไอส์แลนด์ (ค.ศ. 1636) เป็นอาณานิคมที่ยอมรับทุกศาสนา และอาณานิคมคอนเน็กติกัต (ค.ศ. 1639) สำหรับนิกายคอนเกรเกชันนอลลิสต์ มณฑลแคโรไลนาตั้งใน ค.ศ. 1663 หลังฟอร์ทอัมสเตอร์ดัมยอมจำนนใน ค.ศ. 1664 อังกฤษควบคุมอาณานิคมนิวเนเธอร์แลนด์ของดัตช์ และเปลี่ยนชื่อเป็นนิวยอร์ก การควบคุมดังกล่าวมีการทำให้เป็นทางการในการเจรจาให้หลังสงครามอังกฤษ-ดัตช์ครั้งที่สอง เพื่อแลกเปลี่ยนกับซูรินาม[47] และใน ค.ศ. 1681 วิลเลียม เพนน์ก่อตั้งอาณานิคมเพนซิลเวเนีย อาณานิคมบนทวีปอเมริกาประสบความสำเร็จทางการเงินน้อยกว่าในแคริบเบียน แต่อาณานิคมเหล่านี้มีพื้นที่เกษตรกรรมดีขนาดใหญ่ และดึงดูดผู้ย้ายถิ่นออกชาวอังกฤษซึ่งชื่นชอบภูมิอากาศอบอุ่นของอาณานิคมเหล่านี้[48]

ใน ค.ศ. 1670 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บริษัทอ่าวฮัดสัน โดยให้บริษัทผูกขาดการค้าขนสัตว์ในดินแดนซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า รูเพิตส์แลนด์ ซึ่งต่อมากลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ของประเทศในเครือจักรภพแคนาดา บริษัทอ่าวฮัดสันตั้งค่ายทหารและสถานีการค้าซึ่งบ่อยครั้งตกเป็นเป้าการโจมตีของฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอาณานิคมค้าขนสัตว์ของตนในนิวฟรานซ์ที่อยู่ใกล้เคียง[49]

อีกสองปีต่อมา มีการสถาปนาบริษัทรอยัลแอฟริกันโดยได้รับพระราชทานสิทธิ์จากพระเจ้าชาร์ลส์ให้ผูกขาดการค้าเพื่อจัดหาทาสให้อาณานิคมบริติชในแคริบเบียน[50] จากแรกเริ่ม ทาสถือเป็นรากฐานของจักรวรรดิบริติชในอินเดียตะวันตก จนการยกเลิกการค้าทาสใน ค.ศ. 1807 บริเตนเป็นผู้ขนส่งทาสชาวแอฟริกันกว่า 3.5 ล้านคนไปทวีปอเมริกา คิดเป็นหนึ่งในสามของทาสทั้งหมดที่ถูกขนส่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก[51] เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การค้านี้ จึงมีการตั้งค่ายทหารตามชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก อย่างเช่น เกาะเจมส์, อักกรา และเกาะบันซ์ ในบริติชแคริบเบียน ร้อยละของประชากรผิวดำเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25 ใน ค.ศ. 1650 เป็นราวร้อยละ 80 ใน ค.ศ. 1780 และในสิบสามอาณานิคม อัตราส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 40 ในช่วงเวลาเดียวกัน (ส่วนใหญ่ในอาณานิคมตอนใต้) [52] สำหรับนักค้าทาส การค้าสร้างกำไรมหาศาล และกลายเป็นหลักสำคัญทางเศรษฐกิจใหญ่สำหรับนครบริเตนทางตะวันตก อย่างเช่น บริสตอลและลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นมุมที่สามของการค้าสามเหลี่ยมกับทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกา สำหรับผู้ที่ถูกขนส่ง สภาพรุนแรงและไม่มีสุขอนามัยบนเรือทาสและอาหารเลว ทำให้อัตราการเสียชีวิตระหว่างการเดินทางเฉลี่ยมีมากถึง 1 ใน 7[53]

ใน ค.ศ. 1695 รัฐสภาสกอตแลนด์ให้กฎบัตรแก่บริษัทสกอตแลนด์ ซึ่งตั้งนิคมใน ค.ศ. 1698 บนคอคอดปานามา อาณานิคมถูกแวดล้อมโดยชาวอาณานิคมสเปนเพื่อนบ้าน นิวกรานาดา และมีโรคมาลาเรีย อาณานิคมจึงถูกละทิ้งในอีกสองปีต่อมา แผนดาเรียนถือเป็นหายนะทางการเงินสำหรับสกอตแลนด์ โดยทุนหนึ่งในสี่ของสกอตแลนด์เสียไปในวิสาหกิจดังกล่าว[54] และยุติความหวังของสกอตแลนด์ที่จะก่อตั้งจักรวรรดิอาณานิคมโพ้นทะเลของตัวอย่างสิ้นเชิง กรณีดังกล่าวยังมีผลกระทบทางการเมืองสำคัญ โดยชวนให้รัฐบาลของทั้งอังกฤษและสกอตแลนด์เห็นประโยชน์ของสหภาพของสองประเทศ มากกว่ามีพระมหากษัตริย์ร่วมกันเท่านั้น[55] การรวมประเทศเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1707 ด้วยพระราชบัญญัติสหภาพ และสถาปนาราชอาณาจักรบริเตนใหญ่

การแข่งขันกับเนเธอร์แลนด์ในทวีปเอเชีย

ฟอร์ตเซนต์จอร์จ ก่อตั้งในมัลทราส ค.ศ. 1639

ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 อังกฤษและเนเธอร์แลนด์เริ่มท้าทายการผูกขาดการค้ากับทวีปเอเชียของโปรตุเกส โดยก่อตั้งบริษัทร่วมหุ้นเอกชนเพื่อหาเงินสนับสนุนการออกเดินเรือ บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษและบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ ได้รับพระบรมราชานุญาตและกฎบัตรใน ค.ศ. 1600 และ 1602 ตามลำดับ เป้าหมายหลักของบริษัทดังกล่าว คือ การเจาะการค้าเครื่องเทศซึ่งกำไรงาม เป็นความพยายามที่มุ่งไปสองภูมิภาคเป็นหลัก คือ กลุ่มเกาะอินเดียตะวันออก และอินเดีย ศูนย์กลางสำคัญในเครือข่ายการค้านี้ ที่นั่น ทั้งสองแข่งครองความเป็นใหญ่ทางการค้ากับโปรตุเกสและระหว่างกัน[56] แม้สุดท้ายอังกฤษจะบดบังเนเธอร์แลนด์ในฐานะมหาอำนาจอาณานิคม แต่ในระยะสั้นระบบการเงินที่ก้าวหน้ากว่าของเนเธอร์แลนด์[57]และสงครามอังกฤษ–ดัตช์สามครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทำให้เนเธอร์แลนด์มีฐานะเข้มแข็งกว่าในทวีปเอเชีย ความเป็นปรปักษ์ยุติหลังการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ค.ศ. 1688 เมื่อวิลเลียมแห่งออเรนจ์ ชาวดัตช์ ขึ้นครองบัลลังก์อังกฤษ นำมาซี่งสันติภาพระหว่างเนเธอร์แลนด์และอังกฤษ ข้อตกลงระหว่างชาติทั้งสองให้การค้าเครื่องเทศในกลุ่มเกาะอินเดียตะวันออกเป็นของเนเธอร์แลนด์ และอุตสาหกรรมสิ่งทออินเดียเป็นของอังกฤษ แต่ในไม่ช้า สิ่งทอได้กำไรมากกว่าเรื่องเทศ และในแง่ยอดขายใน ค.ศ. 1720 บริษัทบริติชแซงหน้าบริษัทดัตช์[57]

ความขัดแย้งกับฝรั่งเศสในระดับโลก

ความปราชัยของเรือไฟฝรั่งเศสที่ควิเบก ค.ศ. 1759ชัยชนะของโรเบิร์ต คลิฟในยุทธการที่ปลาศีทำให้บริษัทกลายเป็นอำนาจทางทหารและด้านพาณิชย์

สันติภาพระหว่างอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1688 หมายความว่าทั้งสองประเทศเข้าสู่สงครามเก้าปีโดยเป็นพันธมิตรกัน แต่ความขัดแย้งซึ่งปะทุในทวีปยุโรปและดินแดนโพ้นทะเลระหว่างฝรั่งเศส สเปน และพันธมิตรอังกฤษ-ดัตช์ ทำให้อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมที่แข็งแกร่งกว่าดัตช์ ซึ่งถูกบีบให้ทุ่มงบประมาณทางทหารในสงครามทางบกราคาแพงในทวีปยุโรป[58] ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษก้าวเป็นอำนาจอาณานิคมของโลกอย่างเด็ดขาด และฝรั่งเศสกำลังจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในเวทีจักรวรรดิ[59]

การสวรรคตของพระเจ้าการ์โลสที่ 2 แห่งสเปน ใน ค.ศ. 1700 และพินัยกรรมยกสเปนและจักรวรรดิอาณานิคมสเปนให้เฟลีเปแห่งอันจู หลานชายพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส เร่งให้เกิดความหวังในการรวมฝรั่งเศส สเปน และอาณานิคมของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่รับไม่ได้สำหรับอังกฤษและอำนาจอื่นในทวีปยุโรป[60] ใน ค.ศ. 1701 อังกฤษ โปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์เข้าพวกกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านสเปนและฝรั่งเศสในสงครามสืบราชบัลลังก์สเปนซึ่งกินเวลาถึง ค.ศ. 1714

สงครามยุติลงด้วยสนธิสัญญาอูเทร็คท์ เฟลีเปทรงบอกเลิกสิทธิของพระองค์และผู้สืบสันดานเหนือราชบัลลังก์ฝรั่งเศสและสเปนเสียจักรวรรดิในทวีปยุโรป[61] ดินแดนของจักรวรรดิบริติชขยาย บริเตนได้นิวฟันด์แลนด์และอคาเดียจากฝรั่งเศส และยิบรอลตาร์และไมนอร์กาจากสเปน ยิบรอลตาร์กลายมาเป็นฐานทัพเรือสำคัญยิ่ง และให้บริเตนควบคุมจุดเข้าและออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่แอตแลนติก สเปนยังมอบสิทธิ์อาเซย์นโต (การอนุญาตให้ขายทาสในอเมริกาเหนือของสเปน) กำไรงามแก่บริเตน[62]

ระหว่างกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีความขัดแย้งทางทหารอุบัติหลายครั้งในอนุทวีปอินเดีย สงครามคาร์แนติก บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (บริษัท) และบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสต่อสู้ร่วมกันผู้ปกครองท้องถิ่นเพื่อเติมสุญญากาศที่เกิดหลังจักรวรรดิโมกุลเสื่อมอำนาจ ยุทธการที่ปลาศีใน ค.ศ. 1757 ซึ่งฝ่ายบริเตน นำโดย รอเบิร์ต คลีฟ พิชิตนาวาบแห่งเบงกอลและพันธมิตรชาวฝรั่งเศส ทำให้บริษัทควบคุมเบงกอลและเป็นประเทศทางทหารและการเมืองสำคัญในอินเดีย[63] ฝรั่งเศสเหลือการควบคุมดินแดนแทรกแต่ด้วยการจำกัดทางทหารและพันธะให้สนับสนุนรัฐบริวารของบริเตน ยุติความหวังของฝรั่งเศสในการควบคุมอินเดีย[64] ในหลายทศวรรษให้หลังบริษัทค่อย ๆ เพิ่มขนาดของดินแดนที่อยู่ในการควบคุม ไม่ว่าปกครองโดยตรงหรือผ่านทางผู้ปกครองท้องถิ่นภายใต้การขู่ใช้กำลังจากกองทัพบริติชอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยซีปอยอินเดีย[65]

การสู้รบระหว่างบริเตนและฝรั่งเศสในอินเดียกลายเป็นยุทธบริเวณหนึ่งของสงครามเจ็ดปี (1756–1763) ที่แผ่ไปทั่วโลก สงครามนี้เกี่ยวข้องกับฝรั่งเศส บริเตนและมหาอำนาจยุโรปอื่น การลงนามสนธิสัญญาปารีสมีผลกระทบสำคัญต่ออนาคตของจักรวรรดิบริติช ในทวีปอเมริกาเหนือ อนาคตของฝรั่งเศสในการเป็นเจ้าอาณานิคมจบลงอย่างสิ้นเชิงด้วยการรับรองการอ้างสิทธิ์ของบริเตนเหนือดินแดนรูเพิร์ต[49] และการยกนิวฟรานซ์ให้บริเตน (ทำให้ประชากรพูดภาษาฝรั่งเศสจำนวนมากอยู่ในการปกครองของอังกฤษ) และลุยส์เซียนาให้สเปน สเปนยกฟลอริดาให้บริเตน ร่วมกับชัยชนะเหนือฝรั่งเศสในอินเดีย สงครามเจ็ดปีทำให้บริเตนเป็นมหาอำนาจทางทะเลที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก[66]

การเสียสิบสามอาณานิคม

ดูบทความหลักที่: การปฏิวัติอเมริกา

ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1760 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1770 ความสัมพันธ์ระหว่างสิบสามอาณานิคมและอังกฤษตึงเครียดมากขึ้น หลัก ๆ เนื่องจากความไม่พอใจต่อความพยายามของรัฐสภาบริติชในการปกครองและเก็บภาษีผู้อยู่ในนิคมอเมริกันโดยปราศจากความยินยอมของพวกเขา[67] ในเวลานั้น มีการสรุปเป็นคำขวัญว่า "ไม่จ่ายภาษีหากไม่มีผู้แทน" โดยมองว่าเป็นการฝ่าฝืนสิทธิชาวอังกฤษที่ได้รับประกัน การปฏิวัติอเมริกาเริ่มต้นจากการปฏิเสธอำนาจของรัฐสภาและการเคลื่อนไหวสู่การปกครองตนเอง บริเตนสนองโดยส่งทหารมาบังคับการปกครองโดยตรง ทำให้สงครามอุบัติใน ค.ศ. 1775 ในปีต่อมา สหรัฐประกาศอิสรภาพ การเข้าสู่สงครามของฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1778 ทำให้ดุลทหารเข้าข้างฝ่ายอเมริกาและหลังความปราชัยเด็ดขาดที่ยอร์กทาวน์ใน ค.ศ. 1781 บริเตนเริ่มเจรจาเงื่อนไขสันติภาพ เอกราชของอเมริกาได้รับการรับรองในสนธิสัญญาสันติภาพปารีสใน ค.ศ. 1783[68]

การยอมจำนนของคอร์นวัลลิสที่ยอร์กทาวน์ การสูญเสียอาณานิคมอเมริกันเป็นเครื่องหมายการสิ้นสุดของ "จักรวรรดิบริติชที่หนึ่ง"

นักประวัติศาสตร์มองว่าการเสียดินแดนกว้างใหญ่ของบริติชอเมริกา ซึ่งเป็นอาณานิคมโพ้นทะเลซึ่งมีประชากรมากที่สุดของบริเตนในเวลานั้น เป็นเหตุการณ์ซึ่งนิยามการเปลี่ยนผ่านระหว่างจักรวรรดิ "ที่หนึ่ง" และ "ที่สอง"[69] ซึ่งบริเตนหันความสนใจจากทวีปอเมริกาไปทวีปเอเชีย มหาสมุทรแปซิฟิก และทวีปแอฟริกาในภายหลัง ความมั่งคั่งของประชาชาติ ของอดัม สมิธ ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1776 โต้แย้งว่าอาณานิคมนั้นมีมากเกินไป และควรนำระบบการค้าเสรีมาแทนนโยบายพาณิชยนิยมแบบเก่า อันเป็นลักษณะของการขยายอาณานิคมในช่วงแรกซึ่งย้อนไปถึงลัทธิคุ้มครองของสเปนและโปรตุเกส[66][70] การเติบโตของการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชกับบริเตนหลัง ค.ศ. 1783 ดูเหมือนยืนยันมุมมองของสมิธที่ว่าการควบคุมทางการเมืองไม่จำเป็นต่อความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ[71][72]

เหตุการณ์ในอเมริกามีอิทธิพลต่อนโยบายของบริเตนในแคนาดา ที่ซึ่งพวกลอยัลลิสต์ที่แพ้สงครามจำนวนระหว่าง 40,000 ถึง 100,000 คน[73] อพยพจากอเมริกาหลังอิสรภาพ ลอยัลลิสต์ 14,000 คนผู้ซึ่งไปแม่น้ำเซนต์จอห์นซึ่งขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโนวาสโกเทียรู้สึกว่าอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลจังหวัดในฮาลิแฟกซ์ ฉะนั้นรัฐบาลบริติชจึงแบ่งนิวบรันสวิกเป็นอาณานิคมต่างหากใน ค.ศ. 1784[74] พระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1791 ตั้งมณฑลอัปเปอร์แคนาดา (ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษ) และโลว์เออร์แคนาดา (ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส) เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างชุมชนชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศส และนำรูปแบบการปกครองซึ่งคล้ายกับรูปแบบซึ่งใช้ในอังกฤษมาใช้ โดยเจตนาแสดงอำนาจของจักรวรรดิและไม่อนุญาตการควบคุมการปกครองของปวงชนอย่างที่ถูกมองว่านำไปสู่การปฏิวัติอเมริกา[75]

ความตึงเครียดระหว่าบริเตนและสหรัฐเพิ่มขึ้นอีกครั้งระหว่างสงครามนโปเลียน บริเตนพยายามตัดการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับฝรั่งเศส และส่งคนขึ้นเรืออเมริกันเพื่อเกณฑ์ลูกเรือเข้าราชนาวี สหรัฐอเมริกาประกาศสงคราม สงคราม ค.ศ. 1812 และบุกครองดินแดนแคนาดาขณะบริเตนบุกครองดินแดนอเมริกา แต่ดินแดนก่อนสงครามได้รับการยืนยันอีกในสนธิสัญญาเก้นท์ ค.ศ. 1814 รับประกันว่าอนาคตของแคนาดาจะแยกจากสหรัฐ[76][77]

ใกล้เคียง

จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิญี่ปุ่น จักรวรรดิบริติช จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิมองโกล จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรวรรดิโรมัน จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล: เฟสสอง จักรวรรดิรัสเซีย

แหล่งที่มา

WikiPedia: จักรวรรดิบริติช http://www.ualberta.ca/~janes/EMPIRE.html http://www.amazon.com/Ending-East-Suez-Historical-... http://www.engelsklenker.com/british_empire_histor... http://www.mfa.gov.eg/MFA_Portal/en-GB/Foreign_Pol... http://www.nzhistory.net.nz/politics/treaty/waitan... http://www.cambridge.org/gb/knowledge/isbn/item648... //doi.org/10.1017%2FS0018246X00026698 //doi.org/10.2307%2F2051326 //www.jstor.org/stable/2637986 http://thecommonwealth.org/about-us